วันที่ 20 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยระบุว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียโจมตีว่ารัฐบาลไม่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีน ตนยืนยันว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีนทางเลือก รัฐบาลไม่ผูกขาดการจัดซื้อวัคซีน
ส่วนการบริหารจัดการฉีดวัคซีน รัฐบาลกำลังเร่งรัดให้ดำเนินการฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดตามโควตาที่มีอยู่ในทุกจังหวัด และต้องทั่วถึง การจัดซื้อวัคซีนไม่ได้ทำง่ายเหมือนกับจัดซื้อยาตามปกติ ผู้ผลิตของบริษัทเอกชนจะไม่รับผิดชอบในกรณีที่เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียง ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเป็นผู้จัดหาเองในระยะแรก ตนได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหารือกับโรงพยาบาลเอกชนและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้วัคซีนทางเลือกเข้ามาโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะต้องหาช่องทางติดต่อบริษัทต่างๆ ว่าจะจัดซื้อได้อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ผู้นำพูดจาไม่ชัดและพูดผิดบ่อยๆ ว่า ตนอาจจะพูดเร็วไปนิด เพราะมีหลายเรื่องที่จะต้องคิด ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สุขภาพ การลงทุน งบประมาณ แผนงานโครงการต่างๆ ตนค่อนข้างจะเป็นคนที่ทำอะไรเร็ว คิดเร็ว พูดเร็ว ตนจะพยายามพูดช้าๆ ขอให้ประชาชนเข้าใจว่าตนพยายามเต็มที่แล้ว
ส่วนการจัดหาย าฟาวิพิราเวียร์ว่า รัฐบาลได้เตรียมแผนสำรองในการจัดหาไว้แล้ว เดือนเม.ย.-พ.ค. จะจัดหาเพิ่มเติม 2 ล้านเม็ด พ.ค.-มิ.ย. อีก 1 ล้านเม็ด มิ.ย.-ก.ค. อีก 5 แสนเม็ด โดยจะสั่งซื้อให้มีสำรองในสต๊อก 3.5 ล้านเม็ด ให้ได้เร็วที่สุด และขณะนี้ไทยนำเข้าวัคซีนมากกว่า 2 ล้านโดสแล้ว วันที่ 24 เมษายนนี้ วัคซีนของซิโนแวคจะเข้ามาอีก 5 แสนโดส เดือนพฤษภาคม เข้ามาอีก 1 ล้านโดส
สำหรับวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่ผลิตในไทยจะทยอยส่ง 4-6 ล้านโดส และเพิ่มจำนวนในเดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปี จำนวน 61 ล้านโดส และหากรวมกับวัคซีนทางเลือกที่จะหาเข้ามาเพิ่มเติมเชื่อมั่นว่าจะเพียงพอ นอกจากนี้จะทำการเจรจากับไฟเซอร์ มีความเป็นไปได้ว่าจะจัดส่งได้ในเดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นปี จำนวน 5-10 ล้านโดส ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใบเสนอราคา และเงื่อนไขของการนำเข้า